Month: ตุลาคม 2020

พระเจ้าทรงยึดเราไว้

เฟรดดี้ บลอมชาวแอฟริกาใต้อายุครบ 114 ปีในปี 2018 เขาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางว่าเป็นชายที่อายุยืนที่สุด เขาเกิดเมื่อปี 1904 ซึ่งเป็นปีที่พี่น้องตระกูลไรท์สร้างเครื่องบินฟลายเออร์ทู เขาผ่านช่วงสงครามโลกทั้งสองครั้ง เผชิญนโยบายแบ่งแยกสีผิว และมหาวิกฤติเศรษฐกิจโลก เมื่อถามถึงเคล็ดลับการมีอายุยืน เขาเพียงแค่ยักไหล่ เช่นเดียวกับเราหลายคน เขาไม่ได้เลือกอาหารหรือปฏิบัติตัวเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง แต่เขาบอกว่ามีสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขามีสุขภาพดี “มีเพียงสิ่งเดียว คือพระเจ้า พระองค์ผู้ทรงกำลังเหนือทุกสิ่ง... ทรงค้ำชูผมไว้”

เฟรดดี้สะท้อนคำพูดที่พระเจ้าตรัสกับอิสราเอล ขณะที่ทั้งชาติอ่อนเปลี้ยอยู่ใต้การกดขี่ของศัตรูที่โหดร้าย “เราจะหนุนกำลังเจ้า เราจะช่วยเจ้า” พระเจ้าทรงสัญญา “เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันมีชัยของเรา” (อสย.41:10) ถึงสถานการณ์จะเลวร้าย แม้โอกาสจะพบทางออกนั้นริบหรี่ พระเจ้าทรงยืนยันว่าจะดูแลประชากรของพระองค์ “อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า” และย้ำว่า “อย่าขยาด เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า” (ข้อ 10)

ไม่ว่าเราจะมีอายุขัยกี่ปี ความทุกข์ยากในชีวิตก็จะมาเคาะที่ประตู ไม่ว่าจะเป็นชีวิตแต่งงานที่มีปัญหา ลูกหนีออกจากบ้าน ข่าวร้ายจากหมอ แม้แต่การถูกข่มเหง ไม่ว่าจะอย่างไรพระเจ้าทรงเอื้อมพระหัตถ์มาและยึดเราอย่างมั่นคง ทรงนำเราเข้ามาและยึดเราไว้ด้วยพระหัตถ์ที่อ่อนโยนเข้มแข็ง

รักคนแปลกหน้า

เมื่อฉันย้ายไปต่างประเทศ หนึ่งในประสบการณ์แรกๆที่เกิดขึ้นทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่เป็นที่ต้อนรับของที่นั่น หลังจากหาที่นั่งได้แล้วในคริสตจักรเล็กๆแห่งหนึ่งที่สามีฉันเทศนาในวันนั้น มีสุภาพบุรุษชราเสียงห้าวคนหนึ่งทำให้ฉันตกใจเมื่อเขาพูดว่า “ขยับไปที่อื่น” ภรรยาของเขาขอโทษและอธิบายว่าฉันมานั่งที่นั่งประจำของพวกเขา หลายปีต่อมาฉันจึงรู้ว่าคริสตจักรนี้เคยให้คนเช่าที่นั่งเพื่อหาทุนให้คริสตจักร และเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมานั่งตรงที่ที่มีเจ้าของ ความคิดนั้นยังติดอยู่แม้เวลาผ่านไปหลายสิบปีแล้ว

หลังจากนั้นฉันจึงได้ใคร่ครวญสิ่งที่พระเจ้าสอนชาวอิสราเอลให้พวกเขาต้อนรับคนต่างชาติ ซึ่งตรงข้ามกับวิธีปฏิบัติที่ฉันเคยเจอ ในการตั้งกฏเกณฑ์เพื่อให้คนของพระองค์เกิดผลดีนั้น พระองค์ได้เตือนให้พวกเขาต้อนรับคนต่างชาติเพราะพวกเขาเองก็เคยเป็นคนต่างชาติ (ลนต.19:34) ไม่ใช่แค่ปฏิบัติต่อคนต่างชาติอย่างดี (ข้อ 33) แต่ยังต้อง “รักเขาเหมือนกับรักตัวเอง” (ข้อ 34) พระเจ้าได้ช่วยกู้พวกเขาให้รอดจากการถูกข่มเหงในอียิปต์ และให้พวกเขาได้อาศัยในแผ่นดินที่มี “น้ำนมและน้ำผึ้งบริบูรณ์” (อพย.3:17) พระองค์คาดหวังให้คนของพระองค์รักผู้อื่นที่มาอาศัยในแผ่นดินนั้นด้วย

เมื่อพบกับคนแปลกหน้าอยู่ท่ามกลางพวกเรา ขอพระเจ้าช่วยให้เราไม่ทำตามธรรมเนียมปฏิบัติ ที่จะปิดกั้นเราไม่ให้สำแดงความรักของพระองค์กับพวกเขา

สิ่งที่ขาดไปคือสติปัญญา

เคนเนทวัย 2 ขวบหายตัวไป แต่ภายใน 3 นาทีที่แม่โทรหา 911 เจ้าหน้าที่ก็พบตัวเขาในงานเทศกาลที่อยู่แค่สองช่วงตึกถัดไป แม่ได้สัญญาว่าจะให้เขาไปกับคุณตา แต่เคนเนทขับรถของเล่นของตัวเองไป และจอดรถตรงที่เขาชอบจอด เมื่อหนูน้อยกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย พ่อจึงรีบถอดแบตเตอรรี่รถของเล่นออก

ถือว่าเคนเนทเก่งทีเดียวที่ไปจนถึงที่ซึ่งเขาอยากไป แต่เด็กวัย 2 ขวบขาดคุณสมบัติข้อสำคัญคือ สติปัญญา ซึ่งบางครั้งผู้ใหญ่เองก็ขาด ซาโลมอนผู้ได้รับการแต่งตั้งจากบิดาคือดาวิด (1 พกษ.2) ยอมรับว่าท่านรู้สึกยังเป็นเด็ก พระเจ้าได้ปรากฏในความฝันและบอกว่า “เจ้าอยากให้เราให้อะไรเจ้าก็จงขอเถิด” (3:5) ท่านตอบว่า “ข้าพระองค์เป็นแต่เด็ก ข้าพระองค์ไม่ทราบว่าจะเข้านอกออกในอย่างไรถูก...เพราะฉะนั้นขอพระองค์ทรงประทานความคิดความเข้าใจแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อจะวินิจฉัยประชากรของพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะประจักษ์ในความผิดแผกระหว่างดีและชั่ว” (ข้อ 7-9) พระเจ้าจึงประทาน “สติปัญญา และความเข้าใจแก่ซาโลมอนอย่างเหลือประมาณ ทั้งพระทัยอันกว้างขวางดุจทะเลทรายที่ชายทะเล” (4:29)

เราจะรับสติปัญญานี้จากที่ไหน ซาโลมอนบอกว่าจุดเริ่มต้นของสติปัญญาคือ “ความยำเกรง” พระเจ้า (สภษ.9:10) ให้เราเริ่มด้วยการขอให้พระเจ้าทรงสอนเราเกี่ยวกับพระองค์และมอบสติปัญญาที่เหนือกว่าที่เรามี

มังกรในชีวิต

คุณเคยสู้กับมังกรไหม ถ้าไม่เคย นักเขียนชื่อยูจีน ปีเตอร์สันคงไม่เห็นด้วย ในหนังสือการเชื่อฟังที่ยาวนานไปในทิศทางเดียวกัน เขาเขียนว่า “มังกรคือภาพฉายของความกลัว สิ่งไม่ดีต่างๆที่อาจทำร้ายเรา...ชาวนาธรรมดาไม่มีทางเทียบชั้นกับมังกรผู้ยิ่งใหญ่ได้” ยูจีนหมายความว่า ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยมังกรที่อาจเป็นความเจ็บป่วยขั้นวิกฤต การตกงานกระทันหัน ชีวิตแต่งงานที่ล้มเหลว ความเหินห่างกับลูกที่หนีออกจากบ้าน “มังกร” เหล่านี้เป็นอันตรายและความเปราะบางขนาดมหึมาของชีวิตที่เราไม่อาจต่อสู้ได้เพียงลำพัง

แต่ในสงครามเหล่านั้นเรามีนักรบผู้หนึ่ง ไม่ใช่มาจากเทพนิยาย แต่เป็นนักรบสูงสูดผู้ต่อสู้แทนเราและพิชิตมังกรที่พยายามจะทำลายเรา ไม่ว่ามันจะเป็นมังกรแห่งความล้มเหลวของเราเอง หรือเป็นศัตรูฝ่ายวิญญาณที่ต้องการให้เราพินาศ นักรบผู้นี้ยิ่งใหญ่กว่า จนทำให้เปาโลเขียนถึงพระเยซูว่า “พระองค์ทรงปลดเทพผู้ครองและศักดิเทพเสีย พระองค์ได้ทรงประจานเขา และชนะเขาโดยกางเขนนั้น” (คส.2:15) พลังทำลายล้างของโลกที่แตกสลายนี้ไม่คู่ควรจะสู้กับพระองค์!

เวลาที่เรารู้สึกว่ามังกรในชีวิตนั้นใหญ่เกินกำลัง นั่นคือเวลาที่เราจะเข้ามาพักอยู่ในการช่วยกู้ของพระคริสต์ เราพูดอย่างมั่นใจได้ว่า “สาธุการแด่พระเจ้า ผู้ทรงประทานชัยชนะแก่เราทั้งหลาย โดยพระเยซูคริสตเจ้าของเรา” (1 คร.15:57)

ท่าทีต่อคำวิจารณ์

ถ้อยคำรุนแรงทำร้ายจิตใจเสมอ เหมือนเพื่อนนักเขียนมือรางวัลของฉันที่ต้องลำบากใจว่าจะตอบสนองต่อคำวิจารณ์ที่ได้รับอย่างไร หนังสือใหม่ของเขาเพิ่งได้รับรางวัลรีวิว 5 ดาวและชนะรางวัลใหญ่ จากนั้นมีนักวิจารณ์จากนิตยสารชื่อดังเหน็บแนมหนังสือของเขาว่าเขียนได้ดีแต่ก็ใช้คำวิจารณ์ที่รุนแรง เขาถามเพื่อนๆว่า “ผมควรจะตอบอย่างไรดี”

เพื่อนคนหนึ่งแนะนำว่า “ช่างเขาเถอะ” ส่วนฉันได้แชร์คำแนะนำจากนิตยสารนักเขียน และเคล็ดลับการเมินเฉยหรือเรียนรู้จากคำวิจารณ์แบบนั้น โดยขณะเดียวกันก็ทำงานและเขียนต่อไป

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วฉันตัดสินใจมาดูพระคัมภีร์ซึ่งให้คำแนะนำที่ดีที่สุด เกี่ยวกับท่าทีต่อคำวิจารณ์ที่รุนแรง พระธรรมยากอบแนะนำว่า “จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ” (1:19) อัครทูตเปาโลแนะนำว่า “จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” (รม.12:16)

แต่มีพระธรรมสุภาษิตที่ทั้งบทพูดถึงข้อแนะนำต่อท่าทีในการถกเถียงกัน “คำตอบอ่อนหวานช่วยละลายความโกรธเกรี้ยวให้หายไป” ในสุภาษิต 15:1 “บุคคลผู้โกรธช้าก็ระงับการชิงดี” (ข้อ 18) และ “บุคคลผู้สนใจการทักท้วงก็ได้ความเข้าใจ” (ข้อ 32) จากข้อคิดแห่งปัญญาเหล่านี้ ขอพระเจ้าทรงช่วยให้เรายับยั้งคำพูดของเราเหมือนกับที่เพื่อนฉันได้ทำ แต่มากยิ่งกว่านั้น สติปัญญายังสอนให้เรา “ยำเกรงพระเจ้า” เพราะ “ความถ่อมใจเดินอยู่ข้างหน้าเกียรติ” (ข้อ 33)

ธรรมชาติของแซคส์

หนึ่งในเรื่องราวสนุกๆของด็อกเตอร์ซูสส์ คือเรื่อง “แซคส์ไปเหนือ กับแซคส์ไปใต้” ที่ผ่านทางแยกของเมืองแพรรี่ออฟแพรคส์ เมื่อทั้งสองมาประจันหน้ากัน ไม่มีใครยอมหลีกทาง แซคส์ตัวแรกสาบานด้วยความโกรธว่าจะไม่ขยับไปไหนแม้จะทำให้ “ทั้งโลกหยุดนิ่ง” (แต่โลกยังคงดำเนินต่อไปและสร้างทางหลวงรอบๆตัวพวกเขา)

เรื่องนี้แสดงภาพชัดเจนของธรรมชาติมนุษย์ที่ไม่ดีนัก เรามี “ความจำเป็น” ที่ต้องให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูก และมักจะดื้อดึงยึดติดในสัญชาตญาณนั้นในแบบที่ค่อนข้างจะส่งผลเสีย!

แต่เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับเราที่ด้วยความรักพระเจ้าทรงเลือกที่จะทำให้หัวใจอันดื้อดึงของมนุษย์อ่อนลง เปาโลทราบข้อนี้ ดังนั้นเมื่อสมาชิกสองคนจากคริสตจักรฟีลิปปีทะเลาะกัน ท่านจึงห้ามปรามด้วยความรัก (ฟป.4:2) ท่านเคยสอนผู้เชื่อให้มี “วิธีคิดแบบเดียวกัน” โดยมีความรักที่สละตัวเองอย่างพระคริสต์ (2:5-8) เปาโลจึงขอให้พวกเขา “ช่วยหญิงเหล่านั้น” ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานที่ดีในการประกาศข่าวเสริฐกับท่าน (4:3) นี่เป็นวิธีสร้างสันติและประนีประนอมอย่างชาญฉลาดเพื่อการร่วมกันทำงาน

แน่นอนว่าจะมีเวลาที่เราต้องเด็ดเดี่ยว แต่วิธีแบบพระคริสต์ต่างจากความเด็ดเดี่ยวแบบแซคส์มาก! หลายอย่างในชีวิตไม่คุ้มกับการต่อสู้ เราจะทะเลาะกันในเรื่องหยุมหยิมจนย่อยยับไปด้วยกัน (กท.5:15) หรือจะยอมกลืนศักดิ์ศรี รับคำตักเตือน และแสวงหาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับพี่น้องชายหญิงของเรา

เราสำคัญอะไร

ผมติดต่อกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่จริงจังกับความเชื่อมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ครั้งหนึ่งเขาเขียนมาว่า “เราเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวขี้ผงเล็กๆในประวัติศาสตร์เท่านั้น เราสำคัญอะไร”

โมเสสผู้พยากรณ์ของอิสราเอลเห็นด้วยว่า “ช่วงชีวิตนั้น...ไม่ช้าก็สูญไปและข้าพระองค์ก็จากไป” (สดด.90:10) เวลาอันแสนสั้นของชีวิตทำให้เรากังวลและสงสัยว่าเราสำคัญอะไร

เราสำคัญแน่นอน เพราะพระเจ้าผู้สร้างเราทรงรักเราอย่างลึกซึ้งและตลอดไป ในบทกลอนนี้โมเสสอธิษฐานว่า “ขอทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายอิ่ม...ด้วยความรักมั่นคงของพระองค์” (ข้อ 14) เราสำคัญเพราะเรามีค่าสำหรับพระองค์

และเราสำคัญเพราะเราสามารถแสดงความรักของพระเจ้าให้กับผู้อื่น แม้ชีวิตนั้นแสนสั้นแต่ก็มีความหมายหากเราทิ้งมรดกแห่งความรักของพระเจ้าไว้ เราไม่ได้อยู่ในโลกเพื่อหาเงินและใช้ชีวิตเกษียณอย่างหรูหรา แต่เพื่อ “สำแดงพระเจ้า” ต่อผู้อื่นด้วยการแสดงความรักของพระองค์

และท้ายที่สุดแล้ว แม้ชีวิตในโลกจะเป็นสิ่งชั่วคราว แต่เราถูกสร้างมาเพื่อนิรันดร์กาล เพราะพระเยซูทรงฟื้นจากความตาย เราจึงจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป นี่คือความหมายของโมเสสเมื่อท่านย้ำว่า พระเจ้าจะ “ให้ข้าพระองค์ทั้งหลายอิ่มในเวลาเช้าด้วยความรักมั่นคงของพระองค์” ใน “เวลาเช้า” นั้น เราจะเป็นขึ้นมาและมีชีวิตอยู่เพื่อรักและเพื่อถูกรักตลอดไป และถ้าสิ่งนี้ไม่มีความหมาย ผมก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรที่มีความหมายอีกแล้ว

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา